โรคหัด เป็นโรคไข้ออกผื่น พบได้ทุกวัย และพบได้บ่อยในเด็กเล็ก อายุ 1-6 ปี เกิดจากเชื้อไวรัส Measles ซึ่งพบได้ในจมูกและลำคอของผู้ป่วย ติดต่อกันได้ง่ายมาก โดยการไอ จาม หรือพูดกันในระยะใกล้ชิด
นพ.ชัยรัตน์ ลำโป นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปัตตานี เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคหัดของประเทศไทย ว่าในขณะนี้มีการเกิดโรคหัดอย่างต่อเนื่อง และมีการระบาดในพื้นที่ที่ความครอบคลุมของวัคซีนต่ำ พบสัดส่วนการเกิดโรคหัดระบาดสูงในกลุ่มเด็ก จากรายงานจำนวนผู้ป่วยโรคหัดจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ข้อมูลในช่วงวันที่ 1 -29 กันยายน 2561 ทั้งประเทศพบมีผู้ป่วยจำนวน 2.149 ราย จังหวัดทีมีอัตราป่วยต่อแสนประชากรสูงสุด 5 อันดับแรกคือ ยะลา , ประจวบคีรีขันธ์ , สมุทรสาคร , เชียงใหม่ และ อำนาจเจริญ ตามลำดับ
โดยสถานการณ์ของจังหวัดปัตตานี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ถึงวันที่ 30 กันยายน2561 ได้รับรายงานผู้ป่วยโรคหัดจำนวนทั้งสิ้น 58 ราย กลุ่มอายุที่พบสูงสุดคือ กลุ่มอายุ 0 - 4 ปี อำเภอที่มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรสูงสุดคืออำเภอทุ่งยางแดง รองลงมาคืออำเภอแม่ลาน, อำเภอหนองจิก, อำเภอยะรัง, อำเภอมายอ, อำเภอกะพ้อ, อำเภอโคกโพธิ์, อำเภอเมืองปัตตานี, อำเภอสายบุรี, ตามลำดับ (อำเภอที่ไม่มีรายงานพบผู้ป่วยคือ อำเภอไม้แก่น และอำเภอปะนาเระ) โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ ได้ดำเนินการควบคุมป้องกันและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ซึ่งสถานการณ์ของจังหวัดปัตตานียังมีแนวโน้มการระบาดสูงขึ้น ประกอบกับพื้นที่รอยต่อของจังหวัดปัตตานีกับจังหวัดยะลามีการระบาดสูง จึงมีความจำเป็นที่พี่น้องประชาชนเฝ้าระวังป้องกันการระบาดของโรคหัด
โรคหัด เป็นโรคไข้ออกผื่น พบได้ทุกวัย และพบได้บ่อยในเด็กเล็ก อายุ 1-6 ปี เกิดจากเชื้อไวรัส Measles ซึ่งพบได้ในจมูกและลำคอของผู้ป่วย ติดต่อกันได้ง่ายมาก โดยการไอ จาม หรือพูดกันในระยะใกล้ชิด เชื้อไวรัสจะกระจายอยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย และเข้าสู่ร่างกายโดยทางการหายใจ บางครั้งเชื้ออยู่ในอากาศเมื่อหายใจเอาละอองที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสเข้าไปก็ทำให้เป็นโรคได้ ถ้าไม่มีภูมิต้านทาน ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่ยังไม่ได้รับวัคซีน นอกจากนี้โรคหัดยังอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ส่วนอาการของโรคหัด เริ่มด้วยมีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง ตาแฉะและกลัวแสง อาการต่างๆ จะมากขึ้นพร้อมกับไข้สูงขึ้น และจะสูงขึ้นเต็มที่เมื่อมีผื่นขึ้นในวันที่ 4 ลักษณะผื่นนูนแดงติดกันเป็นปื้นๆ โดยจะขึ้นที่หน้า บริเวณชิดขอบผม แผ่กระจายไปตามลำตัว แขน ขา เมื่อผื่นแพร่กระจายไปทั่วตัว ซึ่งกินเวลาประมาณ 2-3 วัน ไข้ก็จะเริ่มลดลง ผื่นระยะแรกมีสีแดงจะมีสีเข้มขึ้นเป็นสีแดงคล้ำ หรือน้ำตาลแดง บางครั้งจะพบผิวหนังลอกเป็นขุย การตรวจในระยะ 1-2 วัน ก่อนผื่นขึ้นจะพบจุดขาวๆ เล็กๆ มีขอบสีแดงๆ อยู่ในกระพุ้งแก้ม จะช่วยให้วินิจฉัยโรคได้ก่อนที่จะมีผื่นขึ้น อาการแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยมากโดยเฉพาะในเด็กเล็กคือ หูส่วนกลางอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ อุจจาระร่วง สมองอักเสบ พบได้ประมาณ 1 ใน 1,000 ราย ซึ่งจะทำให้มีความพิการเหลืออยู่ ถ้าไม่เสียชีวิต (อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่12 จังหวัดสงขลา)
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปัตตานี เน้นย้ำว่า การป้องกันโรคหัดทำได้โดยการแยกผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคหัดจนถึง 4 วันหลังผื่นขึ้น หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย และฉีดวัคซีนป้องกัน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขให้วัคซีนป้องกันโรคหัด 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน ครั้งที่ 2 เมื่อเด็กอายุ 2 ปี ครึ่ง โดยให้ในรูปของวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน (MMR) จึงขอให้พ่อแม่ ผู้ปกครองนำบุตรหลานไปรับวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์ และช่วงนี้ขอให้มีการเฝ้าระวังป้องกันโรคหัดตามคำแนะนำเบื้องต้น เน้นย้ำให้ผู้ปกครองนำบุตรหลานอายุ 0-5 ปี รับวัคซีนตามเกณฑ์ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคหัดสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานี 073-460234 ต่อ 1307 หรือ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
ที่มา สสส.
ภาพ แฟ้มภาพ
แก้ไขล่าสุด : 10 ต.ค. 2561, เวลา 23:49